ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวแปร
นิยามของตัวแปร
คำว่าตัวแปรเรามักได้ยินมาจากในที่หลายๆแหล่ง ตัวอย่างเช่น เขาคือตัวแปรสำคัญ หรือ ตัวแปร X มีค่าเท่ากับ 10
ตัวแปรในโลกของการเขียนโปรแกรม
จะหมายถึง สิ่งที่ใช้แทนสิ่งหนึ่งโดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นตัวเลขเสมอไป ตัวอย่างเช่น
- นาย A เดินไปหา นาย B
ในตัวอย่างข้างต้นเราอาจจะให้นาย A มีชื่อว่า สมชาย ส่วนนาย B มีชื่อ สมัย ดังนั้นประโยคข้างต้นจะเปลี่ยนใหม่เป็น
- นาย สมชาย เดินไปหา นาย สมัย
ตัวอย่างการสร้างตัวแปร
หรือระบุตัวแปรขึ้นมา ใน Python นั้นการสร้างตัวแปรจะตัวมีชื่อตัวแปร จากนั้นก็ตามด้วย ค่า หรือ ข้อมูล ที่จะเพิ่มลงไปในตัวแปรนั้นๆ เช่น
X = 50
X คือ ชื่อตัวแปร
50 คือ ค่า หรือ ข้อมูล ของตัวแปร
สังเกตว่าจะหลัง X มีเครื่องหมายเท่ากับ (=) อยู่ เพราะว่า เราจะใช้เครื่องหมายเท่ากับ (=) เป็นตัวเชื่อมระหว่างตัวแปรกับค่าของตัวแปรนั้นๆ
สามารถใช้ภาษาไทยได้
แต่ไม่แนะนำเพราะอาจจะมีปัญหาเรื่องของตัวสระบางทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ ตัวอย่างเช่น
น้ำ = แม่น้ำสายหลัก
ปัญหาก็คือคำว่า น้ำ มีสระ อำ และ ไม้โท อาจจะยุ่งยากในการนำไปใช้งาน จึงแนะนำให้ใช้ภาษาอังกฤษที่เป็นคำศัพท์ หรือ คำกริยา ว่ากำลังทำอะไร ตัวอย่างเช่น
water = แม่น้ำสายหลัก (ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจะดูอ่านง่ายกว่าเดิม)
และที่สำคัญชื่อตัวแปรที่สร้างนั้นไม่ควรซ้ำกัน เพราะหากซ้ำกันค่าของตัวแปรจะเปลี่ยนไป เช่น
water = แม่น้ำสายหลัก
water = น้ำ
ตัวแปร water จะมีค่าเท่ากับ น้ำ
ประเภทของตัวแปรทั่วไป
ตัวแปร ที่ใช้ทั่วไปในโลกของการเขียนโปรแกรมจะแบ่งประเภทคราวๆเป็นดังนี้
ตัวแปรประเภท ข้อความ
- สามารถระบุ ชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ ตัวอักษร รวมถึงข้อความทุกประเภท ที่ไม่ได้ใช้ในการคำนวณทางคณิตศาตร์ หรือก็คือไม่ใช้ในการหาผลลัพธ์จากการ บวก ลบ คูณ หาร
ตัวแปรประเภท ตัวเลข
- สามารถระบุ แค่ตัวเลข เท่านั้น ตัวชื่อ เพราะตัวแปรประเภทตัวเลขจะนำไปใช้ในการหาผลลัพธ์ทางการคำนวณ
ตัวแปรประเภท บูลีน หรือ บูล
- คือข้อมูลที่ จริง กับ ไม่จริง หรือ true (ทรู) กับ false (ฟอลส) จะใช้ในการเปรียบเทียบเช่น 1 เท่ากับ 1 จริงหรือไม่จริง
ประเภทของตัวแปรใน Python
ประเภทตัวแปรใน Python ก็จะคล้ายๆกับ ประเภทตัวแปรข้างต้น แต่อาจจะมีชื่อพิเศษที่ใช้เรียกดังนี้
สตริง (string)
สตริง (string) มีตัวย่อคือ str คือ ตัวแปรประเภทข้อความ ซึ่งประเภทตัวแปรนี้จะพิเศษกว่าตัวแปรอื่น เพราะว่าจะต้องมีเครื่องหมายบางเครื่องหมายระบุก่อน นั้นก็คือ
เครื่องหมายซิงเกิ้ลโขด (single quotes) โดยมีหน้าตาคือ ’ ‘
เครื่องหมายดับเบิ้ลโขด (double quotes) โดยมีหน้าตาคือ " “
ตัวอย่างการใช้งานเช่น
water = "แม่น้ำสายหลัก"
oil = 'น้ำมันพืช'
อินทีเจ้อ (integer)
อินทีเจ้อ (integer) มีตัวย่อคือ int คือ ตัวแปรประเภทตัวเลขจำนวนเต็ม ความหมายของจำนวนเต็มก็คือ จำนวนที่เป็นจำนวนนับ หรือจะเป็น จำนวนนับที่ติดลบ หรือศูนย์
ตัวอย่างการใช้งานเช่น
one = 50
two = 200
โฟลท (float)
โฟลท (float) ไม่มีตัวย่อ คือ ตัวแปรประเภทตัวเลขทศนิยม จำนวนที่เขียนในรูปทศนิยมจะมีจุด (.) หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า dot (ดอท) หรือ point (พ้อย)
ตัวอย่างการใช้งานเช่น
บูล (bool)
บูล (bool) ไม่มีตัวย่อ คือ ตัวแปรประเภทจริงหรือเท็จ true กับ false
ตัวอย่างการใช้งานเช่น
is_walk = true
is_walk = false
ลิสต์ (list)
ลิสต์ (list) ไม่มีตัวย่อ คือ ตัวแปรประเภทรายการ หรือชุดข้อมูล ซึ่งสามารถมีค่ามากกว่า 1 หรือเท่ากับ 1 ก็ได้ โดยมีเครื่องหมายพิเศษ นั่นก็คือ
- เครื่องหมายวงเล็บรูปเหลี่ยม (square brackets) โดยมีหน้าตาคือ [ ]
ตัวอย่างการใช้งานเช่น
list1 = [1,2,3,4,5,6,7,8,9]
list_name = ["สมัย","สมชาย","สมอน"]
หากต้องการเพิ่มจำนวนข้อมูลในลิสต์สามารถใช้เครื่องหมายลูกน้ำ (,) เป็นตัวคั่นระหว่างข้อมูลได้
ดิกชั่นนารี (Dictionary)
ดิกชั่นนารี (Dictionary) ตัวย่อคือ dict คือตัวแปรที่คล้ายๆกับลิสต์ แต่แตกต่างตรงที่ จะต้องระบุคีย์ (Key) กับ ค่าข้อมูล (Value อ่านว่า แวลูว)
- โดยมีเครื่องหมายโคลอน (:) เป็นตัวเชื่อมกัน และมีเครื่องหมายปีกกา { } ครอบมัน
ตัวอย่างโครงสร้าง
{key : value}
- ตัวอย่างการใช้งานเช่น
dict1 = { "ชื่อ" : "สมัย" , "อายุ" : 28 , "โสด", true }
หากต้องการเพิ่มจำนวนข้อมูลสามารถใช้เครื่องหมายลูกน้ำ (,) เป็นตัวคั่นระหว่างข้อมูลได้
ประเภทตัวแปรใน Python ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น เป็นเพียงแค่ตัวแปรคร่าวๆ ที่นิยมใช้ส่วนอื่นสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในอินเตอร์เน็ต